ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีที่ไหนที่ไม่มีปัญหาเรื่องความรุนแรงในชั้นเรียนหรือในโรงเรียน แต่ประเด็นนี้เราจะพบว่านักเรียนท่านนี้ ก็มีพฤติกรรมความรุนแรงจริง แล้วก็ประพฤติผิดตามกฎระเบียบของสถานศึกษา อันนี้ก็ว่ากันไปตามกฎระเบียบ แล้วก็จากข่าวก็ชี้เห็นว่าไม่ใช่พฤติกรรมครั้งแรกที่เกิดขึ้นของนักเรียนคนนี้ในโรงเรียน ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทําให้เราเกิดบทเรียนในอีก 2-3 ประเด็นตามมา
.
ประเด็นแรกก็คือ เราไม่ควรตั้งเป้าที่จะเริ่มต้นจากการโทษเด็กว่าทำไมเป็นคนแบบนี้ แต่เราอาจจะต้องตั้งคําถามตัวโต ๆ ในเรื่องของการปลูกฝังหรือการเลี้ยงดูจากครอบครัว รวมถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเด็กว่า นักเรียนคนนี้เติบโตมาจากสิ่งแวดล้อมแบบใด ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กที่อาจจะทําให้เขาเห็นต้นแบบ (Role Model) ของการใช้ความรุนแรง ทั้งจากการเลี้ยงดู หรือการจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ที่ทําให้เขาได้เรียนรู้เรื่องพฤติกรรมความรุนแรงเช่นนี้
.
การส่งเสริมเด็กให้เติบโตและสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติสุข ไม่เพียงแต่จะหนุนเสริมให้เขาได้มีพัฒนาการทาง IQ อย่างเต็มความสามารถของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมให้มีการพัฒนา Jigsaw อีก 3 ตัว เข้าไปด้วย คือ ความฉลาดทางสังคม (SQ : Social Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ : Emotional Quotient) และความฉลาดในการรับมือกับปัญหา (AQ : Adversity Quotient) ความฉลาดทั้ง 3 ตัวนี้ที่จะเป็นภูมิคุ้มกันทางสังคมในการที่จะป้องกันตัวเองจากการใช้และการได้รับความรุนแรงทุกรูปแบบ เขาจะรู้ว่าเขาควรจะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อเผชิญภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการกระตุ้นให้ใช้ความรุนแรง หรืออยู่ในภาวะที่จะเป็นเหยื่อของความรุนแรง
.
ประเด็นต่อมาที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ ก็คือการใช้กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียน อาจจะเห็นว่าเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากการตั้ง self-concept ของตนเองต่อการรับการประเมินผลว่าจะต้องได้คะแนนเต็ม คือเด็กไทยส่วนใหญ่ได้ยินแล้วคิดว่าถ้าได้ 18 คะแนนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน น่าจะไปแก้บนหรือปิดซอยเลี้ยงกันแล้ว แต่ว่าตัวน้องเขากลับไม่พอใจ ส่วนนี้อาจเป็นที่ตัวแปรทางจิตวิทยา คือ ความต้องการสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ซึ่งอาจทำให้เขาผูกมัดตัวเองกับกับข้อตกลงนี้ ซึ่งน่าจะมีสิ่งที่เป็นเบื้องหลัง เช่น ประสบการณ์ของการได้รับความสุขจากการได้รับความสมบูรณ์แบบ หรืออาจเป็นความกดดันที่อยากได้ความสมบูรณ์แบบเพื่อให้ได้รับความชื่นชมจากครอบครัวหรือคนรอบข้าง ส่วนนี้สังคมควรเข้าใจถึงคุณลักษณะส่วนนี้ที่อาจไปกระตุ้นให้เขาได้รับความกดดัน แต่เป็นเพราะไม่รู้วิธีแสดงออกที่เหมาะสมจนกลายเป็นเรื่องราวตามข่าว
แล้วก็ประเด็นสำคัญอีกประเด็นก็คือ การสะท้อนภาพของการวัดและประเมินผลทางการศึกษา เราน่าจะกําลังเห็นผลของการใช้กระบวนการวัดและประเมินผลผิดวิธีอยู่ เราควรใช้ผลการวัดและประเมินผลในการวิเคราะห์สภาพการเรียนรู้ในปัจจุบันเพื่อออกแบบวิธีการพัฒนาการเรียนรู้ให้ดีขึ้นจากเดิม แต่หากเข้าใจไปว่าการวัดและประเมินผลเป็นหลักฐานสำคัญของการตัดสินว่าเราจะได้รับสิทธิพิเศษทางการศึกษาอะไรไหม (educational privilege) เช่น ได้รับทุนการศึกษา ได้รับโควตาเข้าเรียนเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น อะไรประมาณนี้ แสดงว่าเขากําลังถูกระบบการวัดประเมินผลในครอบงําไปในทางที่ผิด ซึ่งจะเห็นว่าหลาย ๆ ครั้งในแวดวงการศึกษา เรามีการใช้ผลการวัดประเมินผลเป็นตัวตัดสินตัวผู้เรียนไปแล้วว่าเรียนได้ดีหรือไม่ดี ทําให้เราอาจจะต้องมองกลับมาทบทวนว่ากําลังใช้ผลการวัดประเมินผลทางการศึกษาในแง่มุมที่ถูกวิธีถูกทางหรือไม่
.
ประเด็นสุดท้ายที่เราได้เรียนรู้ก็คือ ในมุมมองของสิทธิเด็ก เราจะเห็นการละเมิดสิทธิของน้องนักเรียนคนนี้จากการเผยแพร่ข้อมูลที่แพร่สะพัดในโลกออนไลน์ ถึงแม้ว่าจะมีการเบลอภาพของนักเรียน พยายามปกปิดชื่อนักเรียน และสถานศึกษา แต่ในบางแพลตฟอร์มมีการขุดคุ้ยจนกลายเป็น digital footprint ที่อาจทำให้เกิดปมที่กระทบต่อสิทธิของน้องคนนี้ไปตลอดชีวิต และทำให้เกิดภัยคุกคามตามมา จริง ๆ เราสามารถใช้โซเชียลอย่างมีสติ เพื่อเน้นในการส่งต่อข่าวสารได้ แสดงความคิดเห็นกันได้ แต่ต้องรู้ทันเท่าไม่ขุดคุ้ยเพื่อความสะใจที่จะขายให้ได้ยอดไลก์ ยอดวิว หรือการรีทวิต ทำให้เด็กคนหนึ่งจากเดิมที่เป็นผ้าขาวแต่ถูกแต่งแต้มโดยผู้ใหญ่ใกล้ตัว จนกลายเป็นแบบนี้ แล้วยังต้องตกเป็นเหยื่อของภัยทางโซเชียลมีเดียอีกด้วย อยากให้คนในสังคมมีความใจดี (Be kind) กับคนอื่นที่คุณกำลังจะแสดงความคิดเห็น เพื่อให้เขายังมีที่ยืนในสังคมต่อไปได้



